ด้วยวัยเพียง 24 ปี เขาผ่านอะไรมาพอสมควรไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากในวัยเด็ก หรือความหนักหน่วงในเกมลูกหนังยุโรป แต่ตอนนี้เขากำลังสร้างชื่อในฐานะนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในไทยลีกกับทีมน้องใหม่อย่างสุโขทัย เอฟซี และเราจะพาผู้อ่านโฟร์โฟร์ทูไปรู้จักกับชายคนนี้ให้มากขึ้น… จอห์น บาจโจ้ ราโคโตโนเมนจาฮานารี่

มีคุณพ่อเป็นนักฟุตบอล แต่ไม่ใช่ไอดอลของเขา

จอห์นเป็นลูกคนที่ 2 ท่ามกลางพี่น้อง 6 คน โดยประกอบด้วยพี่สาว 1 คน น้องสาว 3 คน และน้องชายอีก 1 คน ครอบครัวของจอห์นจัดได้ว่ามีความรักในเกมลูกหนัง พ่อของจอห์นเป็นนักฟุตบอลสมัครเล่นที่ค้าแข้งในเกาะเรอูนิยง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของมาดากัสการ์ เป็นหนึ่งในจังหวัดโพ้นทะเลของประเทศฝรั่งเศส มีสถานะเทียบเท่ากับแคว้นอื่นๆ ในทวีปยุโรป ส่วนคนอื่นๆก็ชอบเล่นฟุตบอลด้วยเช่นกัน แต่มาได้ไม่ไกลเท่ากับเขาและพ่อ “แม่ก็จะเล่นบ้างสมัยสาวๆ ส่วนน้องชายเล่นอยู่ในทีมโรงเรียน” บาจโจ้เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ FFT TH ฟัง

“แต่ถึงพ่อของผมจะเป็นนักฟุตบอล มันก็ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้ผมชอบเล่นฟุตบอลหรอกนะ ผมชอบด้วยตัวของผมเองมากกว่า พ่อไม่เคยสอนผมเตะบอล เพราะท่านเลิกกับแม่ตั้งแต่ผมอายุได้ 6 ขวบ ไอดอลของผมคือ เปโดร โรดริเกซ อดีตนักเตะบาร์เซโลน่า เพราะตัวเล็กและเล่นปีกเหมือนกัน ผมเลยชอบดูเขาว่าเล่นยังไง”

นั่นทำให้ทีมโปรดของเขาจะเป็นทีมไหนไปไม่ได้นอกจาก… บาร์เซโลน่า… “นัดแรกที่ผมได้ดูคือนัดที่บาร์เซโลน่าเจอกับอาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกปี 2006 ซึ่งสมัยก่อนเรามีโทรทัศน์เครื่องเดียว และถ่ายทอดลา ลีกา ผมเลยติดตามมาตั้งแต่นั้น…”

จากท้องถนนทุรกันดารสู่โรงเรียนลูกหนัง

ชีวิตของบาจโจ้สมัยเด็กๆ ก็เหมือนกับนักเตะในทวีปแอฟริกาหรืออเมริกาใต้ทั่วไปก็คือ ไม่มีเงินซื้อลูกฟุตบอล ทำให้ต้องหยิบฉวยวัสดุทั่วๆไปมาเตะแทน “ผมเอาพลาสติกนั่นแหละมาขยำๆเป็นลูกฟุตบอล แล้วรวมตัวเล่นกับเพื่อนตรงข้างทาง รองเท้าก็ไม่มีใส่ ใช้เท้าเปล่าเอา”

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถฉายฝีเท้าอันโดดเด่นเกินเพื่อนของเขาออกมา จนทำให้เตะตาโค้ชของ JMG อย่างจัง “มีอยู่วันหนึ่งผมก็เล่นบอลกับเพื่อนตามปกติ โค้ชที่นั่นมาเห็นเข้าก็ดึงผมไปร่วมทีมอคาเดมี่ นี อองต์ซิก้า ตอนอายุ 11 ขวบ โดยเพื่อนร่วมรุ่นของผมตอนนั้นก็คือ ลาไลน่า โนเมนจานาฮารี่ ที่อยู่ล็องส์ในตอนนี้”

ซึ่งที่นั่นเปรียบเสมือนโรงเรียนทดสอบความอดทนเมื่อต้องอยู่ไกลบ้าน “ผมไปอยู่ที่โน่นเทอมละ 6 เดือน หยุดครั้งละ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งในช่วง 2 ปีแรกผมคิดถึงบ้านมากจนถึงขนาดร้องไห้เลยล่ะ แม่ก็จะโทรเข้ามาที่อคาเดมี่บ้างแค่เทอมละ 5-6 ครั้ง จะมาหาก็ไม่ได้เพราะมันไกลมาก ต้องนั่งรถวันนึงจึงจะถึง”

“แม่ผมจะโอนเงินที่ได้จากการเปิดร้านขายของมาให้ครั้งละ 400-500 บาท แต่ 2-3 เดือนก็โอนมาทีน่ะ ผมก็เอาไปซื้อของใช้ เพราะที่อคาเดมี่มีข้าวกินอยู่แล้วไง ซึ่งก็ไม่พอหรอก แต่ผมก็ไม่กล้าขอแม่ ”

หลังจากพากเพียรฝึกฝนทักษะลูกหนังมาระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ได้รองเท้าสตั๊ดคู่แรกในชีวิตจากอคาเดมี่นี้เอง “มีการซ้อมเท้าเปล่าอยู่ 2 ปี” อลิสแตร์ วีราซามี่ เอเย่นต์ของเขากล่าว “รองเท้าจะได้รับก็ต่อเมื่อคุณสมควรได้มันเท่านั้น”

ลิ้มรสชาติทีมชุดใหญ่ทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ

แล้วในที่สุดเขาก็ได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ของอคาเดมี่ นี อองต์ซิก้า ด้วยอายุเพียง 16 ปี เมื่อปี 2008 และคว้าแชมป์ลีกได้ทันทีกับสโมสร นอกจากนี้ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับอคาเดมี่ นี อองต์ซิก้า บาจโจ้เคยได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกมาดากัสการ์ และนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์โอซาฟา ยู-20 ชาลเล้นจ์ คัพ ซึ่งเป็นทัวร์นาเม้นต์สำหรับทีมชาติชุดเล็กที่จัดแข่งขันกันในหมู่ทีมจากแอฟริกาตอนใต้ด้วยกันเองด้วย

และนั่นเองทำให้เจ้าตัวถึงเวลาที่จะต้องจากทีมที่ปลุกปั้นเขามาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อย้ายไปอยู่กับทีมที่พ่อของเขาเคยค้าแข้งอย่างสต๊าด แตมปงเนส ในเรอูนิยง

ซึ่งในถิ่นสต๊าด เคลแบร์ ปิชาร์ นั้นถือว่าทำให้เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพค้าแข้งจนถึงตอนนี้ เมื่อคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ทันทีทั้งบอลถ้วยคูป เรชินาล เดอ ฟร้องซ์ (โดยแชมป์รายการนี้จะได้เล่นในรอบคัดเลือกรอบที่ 7 ของเฟร้นช์ คัพ) และคูป เดส์ คลับส์​ แชมปิยงส์ เดอ โลเซียง อันเดียน (เป็นบอลถ้วยที่เอาแชมป์แต่ละประเทศของมหาสมุทรอินเดียมาแข่งกัน) และจากฟอร์มอันยอดเยี่ยมกับต้นสังกัดนี่เองที่ทำให้เขาถูกเรียกไปติดทีมชาติ “ผมประเดิมสนามให้กับทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2011 เจอกับอิหร่าน (ในเกมนั้นมี อาลี คาริมี่ จอมทัพคนดังที่เคยเล่นให้บาเยิร์น มิวนิค และชาลเก้เล่นอยู่ด้วย ซึ่งมาดากัสการ์แพ้ 1-0)” บาจโจ้รำลึกความหลัง

“ส่วนแอฟริกัน เนชั่นส์​ คัพ กับฟุตบอลโลกก็เคยเล่นแต่รอบคัดเลือก ไม่เคยได้เข้าไปเล่นรอบสุดท้ายเสียที ก็หวังว่าสักวันจะมีกับเค้าบ้างนะ

“ผมเคยได้เจอกับนักเตะดังๆอยู่บ้าง อย่างรอบคัดเลือกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ปี 2011 ผมได้เจอกับ จอห์น โอบี มิเกล ซึ่งๆหน้า เขาแข็งแกร่งมาก ผมพยายามจะแย่งบอลจากเขา แต่ก็แย่งไม่ได้เลย ฮ่าๆ ในชุดนั้นมี โจเซฟ โยโบ แล้วก็ ปีเตอร์ โอเด็มวิงกี้ ด้วย ก็รู้สึกมีความสุขนะที่ได้เจอกับพวกเขา รู้สึกตื่นเต้น เพราะก่อนหน้านั้นเคยเห็นแต่ในทีวี แล้วได้มาสู้กับเขาตัวเป็นๆ ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลย”

นอกจากนี้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาก็มาจากเกมทีมชาติด้วยเช่นกัน “เป็นแบ็คขวาแองโกล่า ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าเขาชื่ออะไร แต่ผมเลี้ยงไม่ผ่านเขาเลย จนโดนเปลี่ยนออก ฮ่าๆ”